ยาง ยาง ยาง เรื่องของยาง เชิญอ่าน

เนื้อความ : การดูแลรักษายางรถยนต์



ด้วยหน้าที่ในการยึดเกาะถนนของยางรถยนต์ อันเป็นส่วนหนึ่งของระบบกันสะเทือน ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่
ขับรถได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยตลอดการเดินทาง ยางรถยนต์แต่ละเส้น จึงต้องได้มาตรฐาน เหมาะสมกับประเภท
และการใช้งานของรถ เพราะประสิทธิภาพของยาง ขึ้นอยู่กับสภาพของยางแต่ละเส้น

ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพของยางก็คือ ความดันลมยาง ถ้าความดันลมภายในยาง มากหรือน้อยกว่าที่กำหนด
จะมีผลทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลง เช่น ถ้าความดัน ลมยางมากเกินไป จะมีผลทำให้ดอกยางสึก
โดยเฉพาะบริเวณตอนกลางของหน้ายาง เพราะโครงยางจะเบ่งตัวเต็มที่ อาจทำให้ยางระเบิดได้ง่าย หากรับแรงกระแทกรุนแรง
หรือของมีคม แต่ถ้าความดันลมยางน้อยเกินไปก็จะมีผลทำให้ไหล่ยางด้านข้างทั้งซ้าย และขวาสึก
ส่วนตอนกลางของยางจะยุบตัวเข้าไปหรือที่เรามักเรียกว่า ยางแบน

การรับน้ำหนัก ถ้ารถมีน้ำหนักบรรทุกเกินอัตราส่งผลให้ยางเกิดความร้อนสูงสึกหรอเร็ว
แล้วถ้าล้อใดล้อหนึ่งรับน้ำหนักมากกว่าล้ออื่น จะทำให้ล้อนั้น ๆ สึกหรอเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสภาพถนนที่ขรุขระ
สภาพรถเกี่ยวกับศูนย์ล้อ เช่น มุมโทอิน*, มุมโท-เอาต์* และมุมแคมเบอร์**
ของรถยนต์ถ้าไม่ถูกต้องตามกำหนดของรถแต่ละรุ่น ก็จะทำให้ยางสึกหรอเร็วและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ
วิธีการขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์ การขับรถด้วยความเร็วสูง หรือการหยุดที่ความเร็วสูง รวมทั้งการเบรกและออกตัว
อย่างรุนแรงก็มีผลทำให้ยางสึกหรอเร็วยิ่งขึ้นอีก

การสังเกตว่ายางหมดอายุ หรือใกล้หมดอายุการใช้งานหรือไม่นั้นให้ดูที่สัญลักษณ์รูปหรืออักษร Twi ที่ไหล่ยาง
รอบ ๆ แก้มยาง ข้างละประมาณ 6 จุด ห่างกันประมาณ 60 องศาจากปลายมุมสามเหลี่ยม เมื่อลากเส้นผ่านหน้ายาง
จากไหล่ยางด้านหนึ่งไปยังไหล่ยางอีกด้านหนึ่งภายในร่องยาง ตามแนวที่กล่าวมา จะมีเนื้อยางเป็นเส้นนูนขึ้นมา
โดยเฉลี่ยจะมีความสูงจากความลึกของ ร่องยางปกติประมาณ 2 มิลลิเมตร ดังนั้นเมื่อยางถูกใช้งานไปนาน ๆ ควรเปลี่ยนยางใหม่
เนื่องจากถ้าใช้ต่อไปอาจเกิดปัญหาทางด้านประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและการหยุดรถได้

การดูแลรักษา สามารถทำได้โดยหมั่นเช็กลมยางอยู่เสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และหลีกเลี่ยงถนนหนทางที่ขรุขระ
หลีกเลี่ยงการขับชนฟุตบาท นอกจากนี้ขณะออกรถไม่ควรเร่งเครื่องยนต์ และออกตัวอย่างรวดเร็ว
เพราะจะทำให้ยางสึกเร็วกว่าปกติและไม่ควรจอดรถชิดจนติดกับฟุตบาท เพราะอาจทำให้โครงยางชำรุด
ประการสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้ายางมีแผล และเป็นแผลชำรุดที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะซ่อมแซมได้ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่
เท่านี้ก็จะช่วยให้ทั้งคุณและรถปลอดภัย และเดินทางต่อไปได้อย่างมั่นใจเต็มร้อย

หมายเหตุ :
*มุมโท คือ แนวที่กำหนดให้ล้อคู่หน้าพุ่งตรงไปข้างหน้าจะต้องขนานกันตลอดเวลา ถ้าด้านหน้าแยกออกจากกัน เรียกว่า
โทเอาต์ ถ้าหุบเข้าหากันเรียกว่า โทอิน

: **มุมแคมเบอร์หมายถึง มุมที่หน้ายางด้านล่างที่สัมผัสกับพื้นดิน
ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเส้นตั้งฉากกั้บเส้นสลักเพลาล้อหน้าถ้ามุมแคมเบอร์เป็นบวก
ระยะห่างของหน้ายางตอนล่างที่สัมผัสกับผิวถนนจะสั้นกว่าระยะห่างของหน้ายางตอนบน หมายถึง
หน้ายางตอนล่างหุบเข้าตอนบนถ่างออก ถ้ามุมแคมเบอร์เป็นลบ ผลของระยะห่างหน้ายางก็จะออกมาในทางตรงกันข้าม
แคมเบอร์มีผลต่อการขับและการยึดเกาะถนน

เรื่องของยางรถยนต์



อดเขียนถึงเรื่องยางรถไม่ได้จริง ๆ ครับ เช้าวันหนึ่งผมขับรถขึ้นโทลล์เวย์ไปทำงาน ในขณะที่กำลังใช้ความเร็วพอสมควร
รถคันหน้าเกิดเบรกกระทันหัน ผมจึงต้องเบรกตาม จนตัวโก่ง พร้อมกับลุ้นให้รถที่ขับตามมาอีกหลาย ๆ คันสามารถเบรกได้
โดยที่รถทุกคัน ที่ขับอยู่ข้างหน้าปลอดภัย รวมถึงรถของผมด้วยนะครับ ปรากฏว่ารถคันต้นเหตุมีอุบัติเหตุ ยางรถด้านขวาแตก
ดูจากสภาพการแล้วยางรถคันดังกล่าวคงจะเสื่อมสภาพครับ

เห็นไหมครับว่ายางรถยนต์มีความสำคัญมาก ทั้งนี้เพราะยางเป็นส่วนสำคัญที่ทำหน้าที่ รองรับ
น้ำหนักของรถและถ่ายทอดแรงขับเคลื่อนจากรถยนต์ลงสู่พื้นถนนพร้อมทั้งช่วยลด
แรงสะเทือนของผิวถนนที่กลับคืนสู่ตัวรถอีกด้วย การดูแลรักษายางอย่างถูกวิธีมีส่วนช่วย
ยืดอายุการใช้งานของยางและรถยนต์ให้ยาวนานขึ้นและช่วยสร้างความมั่นใจแก่ผู้ขับขี่ ให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ
ดังเช่นกรณีที่ผมได้กล่าวนำเป็นต้น

ยางแต่ละเส้นมีอายุการใช้งานไม่เท่ากัน เนื่องจากสภาพการใช้งานของยางที่แตกต่างกัน
การขับรถบนเส้นทางที่ขรุขระเป็นประจำหรือบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราจะทำให้ ยางทำงานหนักมากเกินไป
และเกิดการสึกหรอเร็วกว่าที่ควร การหมั่นตรวจเช็กลมยาง
โดยสูบลมยางให้ถูกต้องตามอัตรามาตรฐานที่กำหนดจะทำให้การขับขี่มีความปลอดภัยสูงสุด
และรถยนต์สามารถทรงตัวและยึดเกาะถนนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อัตรามาตรฐานสำหรับการสูบลมยางหรือที่เรียกว่า "ค่าแรงดันลมยาง" จะเป็นค่าที่ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เป็นผู้กำหนด
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของรถยนต์แต่ละรุ่น ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมระหว่างวัตถุประสงค์ในการใช้งานและขนาดของยาง
ทั้งนี้คุณควรระมัดระวังเรื่องแรงดันลมยางในรถของคุณไม่ให้น้อยกว่าหรือมากกว่า อัตราที่กำหนด
เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากอุบัติเหตุรถเสียหลักหรือเสียการทรงตัว
อันเกิดจากปัญหาด้านการยึดเกาะของยางที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ

ผมขอแนะนำข้อควรปฏิบัติในการดูแลรักษายางรถยนต์ของรถคู่ใจของคุณดังนี้ครับ

1.ตรวจเช็กและสูบลมยางให้ถูกต้องตามอัตราที่กำหนดในขณะที่อุณหภูมิของยาง
ยังต่ำ อยู่
2.ควรเพิ่มหรือลดลมยางให้มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักที่บรรทุก
3.อย่าปล่อยลมยางในขณะที่อุณหภูมิของแรงดันลมยางสูง
4.ตรวจเช็กลมยางรวมทั้งยางอะไหล่เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
5.อย่าลดลมยางในขณะฝนตกหรือถนนเปียกเพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในการจับ ถนนและการรีดน้ำลดลง
6.ทุกครั้งที่ตรวจเช็กลมยาง ควรตรวจสภาพยางว่าดอกยางมีอาการปูดบวม
หรือบริเวณ แก้มยางมีรอยฉีกแตกหรือไม่ ถ้ามีควรเปลี่ยนยางใหม่ โดยปกติตามสภาพ การใช้งานทั่วไป
ควรเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ประมาณทุก ๆ 50,000 กิโลเมตร
7.ในกรณีที่เพิ่งเปลี่ยนยางเส้นใหม่ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็กลมยาง ให้มากกว่า ปกติ โดยเฉพาะในช่วง 3,000
กิโลเมตรแรก เนื่องจากโครงสร้างยาง ในช่วงแรก จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลง

ยุคไอเอ็มเอฟแบบนี้ประหยัดอะไรได้ ช่วยกันประหยัดเถอะครับ ดูแลยางรถยนต์
เพิ่มอีกสัก นิดรับรองครับว่าจะช่วยคุณประหยัดไปได้หลายอัฐ ทำให้ใช้ยางรถได้นานขึ้น จ่ายค่าเปลี่ยนยางรถใหม่ช้าลง
อีกทั้งยังเป็นการถนอมรถคู่ใจของคุณอีกทางหนึ่งด้วย
เห็นข้อดีอย่างนี้แล้วคุณจะไม่ลองเริ่มปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลรักษายางในวันหยุด นี้เลยหรือครับ

การสลับยางรถยนต์



ในการใช้รถยนต์ นอกจากคุณจะต้องตรวจเช็กลมและสภาพยางรถยนต์ตามที่ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องของ
ยางรถยนต์ไปแล้ว คุณควรสลับยางรถยนต์คู่ใจของคุณเมื่อขับรถไปได้ระยะทางทุก ๆ
10,000 กิโลเมตรด้วยนะครับ เนื่องจากในการขับรถยนต์อย่างในกรณีที่คุณต้องเบรกรถ
การทรงตัวของรถจะทำให้น้ำหนักและแรงเฉื่อยไปกดที่ล้อหน้าทั้ง 2 ล้อ เท่ากับ 2 ล้อหน้า
ต้องทำงานหนักกว่าปกติ ทำให้ล้อหน้าสึกหรอเร็วกว่า 2 ล้อหลัง ดังนั้นเพื่อเป็นการยืด
อายุยางให้สึกหรอในเวลาใกล้เคียงกันและเพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่รถยนต์
จึงต้องมีการสลับยางรถยนต์

การสลับยางธรรมดา มี 2 แบบ คือ
1. การสลับยางธรรมดาแบบ 4 ล้อ
วิธีนี้ไม่นำยางอะไหล่ออกมาเปลี่ยน แต่จะเปลี่ยนยางล้อหลังทั้ง 2 ล้อออกไปใส่แทนล้อหน้า
โดยนำยางล้อหลังขวาไปใส่แทนยางล้อหน้าขวา
และนำยางล้อหลังซ้ายไปใส่แทนยางล้อหน้าซ้าย สำหรับยางล้อหน้าขวาให้นำไปใส่แทนยางล้อหลังซ้าย
ส่วนยางล้อหน้าซ้ายให้นำไปใส่แทนยางล้อหลังขวา
2. การสลับยางธรรมดาแบบ 5 ล้อ วิธีนี้เป็นการนำยางอะไหล่มาสลับด้วยเท่านั้นเองครับ
คือถอดล้อทั้ง 4 ออก
นำล้อหลังทั้ง 2 ล้อไปใส่เหมือนเดิม ซ้ายใส่ซ้าย ขวาใส่ขวา
จากนั้นนำยางอะไหล่ออกมาใส่แทนล้อหลังขวา
และนำยางล้อหน้าขวามาใส่แทนล้อหลังซ้าย
ส่วนล้อที่เหลือคือล้อหน้าซ้าย ให้นำมาเก็บเป็นยางอะไหล่แทน

การสลับยางเรเดียลแบบ 4 ล้อ
1. การสลับยางเรเดียลแบบ 4 ล้อ
การสลับยางเรเดียลนั้นง่ายกว่าการสลับยางธรรมดา เพราะสลับแบบล้อด้านใครด้าน มัน
คือนำล้อหลังขวาใส่แทนล้อหน้าขวา และนำล้อหลังซ้ายใส่แทนล้อหน้าซ้าย
ในทางกลับกันให้ถอดล้อหน้าขวาใส่ล้อหลังขวา และถอดล้อหน้าซ้ายใส่ล้อหลังซ้ายเท่านั้นเองครับ
แต่ที่สำคัญ ห้ามสลับซ้าย-ขวา แบบการสลับยางธรรมดาโดยเด็ดขาด
เพราะจะทำให้รถส่ายไปมาขณะขับรถ จนเกิดอันตรายได้
2. การสลับยางเรเดียลแบบ 5 ล้อ เป็นการนำยางอะไหล่มาสลับด้วย
ยางหน้าและหลังซ้ายสลับแบบเดียวกับการสลับยาง เรเดียลแบบ 4 ล้อ
แต่ยางด้านหลังขวาให้นำยางอะไหล่ออกมาเปลี่ยนด้วยคือ นำล้อหน้ามาเป็นยางอะไหล่
นำยางอะไหล่ใส่ล้อหลัง และนำยางล้อหลังไปใส่แทนล้อหน้าเท่านี้ก็เรียบร้อย

สาเหตุที่ต้องนำยางอะไหล่ของยางเรเดียลเปลี่ยนไปเฉพาะด้านขวาก็เพราะว่า
รถพวงมาลัยขวาและขับชิดซ้ายอย่างบ้านเรานั้น น้ำหนักจะกดลงที่คนขับนั่งตลอดเวลา
ดอกยางของล้อด้านขวาจึงทำงานหนักที่สุด

ยุคไอเอ็มเอฟแบบนี้ การหมั่นดูแลรักษายางและสลับยางรถยนต์แบบนี้สามารถช่วยเพิ่ม
ความปลอดภัยขณะใช้รถคู่ใจของคุณ แถมยังช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของยางรถยนต์
ให้ใช้ยางทุกเส้นอย่างคุ้มค่าของเงิน ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินเปลี่ยนยางชุดใหม่เร็วเกินไป
ช่วยยืดการจ่ายเงินก้อนหลายพันบาทอยู่นะครับ